ความอยากรู้อยากเห็น ทำให้เราเสี่ยงที่จะเปิดกล่องที่พระเจ้าส่งมาลงโทษมนุษย์อีกครั้ง กล่อง AI ยังไงเราก็ต้องเปิดกล่อง

Pandora’s Box (ตำนาน): ในตำนานกรีก Pandora เป็นผู้หญิงคนแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้น เธอได้รับภาชนะซึ่งมักเรียกกันว่ากล่องแพนดอร่าเป็นของขวัญจากทวยเทพ แพนดอร่าได้รับคำสั่งไม่ให้เปิดกล่อง แต่ความอยากรู้อยากเห็นของเธอก็เข้าครอบงำ เธอจึงเปิดมัน เมื่อเธอทำเช่นนั้น ความชั่วร้ายทั้งหมด เช่น โรคภัยไข้เจ็บ และความโชคร้าย จะถูกปลดปล่อยสู่โลก สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในกล่องคือความหวัง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนถึงพูดว่า “ความหวังเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะออกจากกล่องแพนดอร่า”

ความหวังนั้นคืออะไร? หวังอะไร?
ในบริบทของตำนานกรีกเรื่อง Pandora’s Box “ความหวัง” หมายถึงความสามารถของมนุษย์ที่จะยังคงมองโลกในแง่ดีและคงไว้ซึ่งทัศนคติเชิงบวกแม้ว่าจะมีความทุกข์ยาก ความยากลำบาก หรือความโชคร้ายก็ตาม เมื่อแพนดอร่าเปิดกล่องและปลดปล่อยความชั่วร้ายทั้งหมดสู่โลก ความหวังยังคงอยู่ในกล่องเพื่อบ่งบอกว่าแม้ต้องเผชิญกับความท้าทายและปัญหาในชีวิต มนุษย์ยังสามารถพบพละกำลังที่จะอดทนและยึดมั่นในความเชื่อที่ว่าวันข้างหน้าจะดีขึ้น มา.

สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าแนวคิดเรื่องความหวังในตำนานสามารถตีความได้หลายวิธี บางคนมองว่ามันเป็นพลังบวกที่ช่วยให้มนุษย์อดทนต่อช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ ในขณะที่บางคนมองว่ามันเป็นการทรมานหรือการหลอกลวงอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้มนุษย์เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ สามารถปรับปรุงได้เมื่ออาจไม่ดีขึ้น การตีความความหวังในตำนานของ Pandora’s Box นั้นแตกต่างกันไป แต่การมีอยู่ของมันเป็นเครื่องเตือนใจถึงธรรมชาติอันซับซ้อนของอารมณ์และประสบการณ์ของมนุษย์

ทำไมพระเจ้าถึงส่งกล่องชั่วร้ายมาที่แพนโดร่า?
ในตำนานเทพเจ้ากรีก เรื่องราวของแพนดอร่าและกล่องของเธอเป็นนิทานเตือนใจที่ใช้อธิบายที่มาของความทุกข์และความชั่วร้ายในโลก เหล่าทวยเทพส่งแพนดอร่าและกล่องของเธอเพื่อเป็นการลงโทษมนุษยชาติ หลังจากที่โพรมีธีอุสซึ่งเป็นไททันท้าทายทวยเทพด้วยการขโมยไฟจากโอลิมปัสและมอบมันให้กับมนุษย์ การกระทำที่ท้าทายนี้ทำให้ Zeus ราชาแห่งทวยเทพโกรธมาก

เป็นผลให้ซุสตัดสินใจลงโทษทั้งโพรมีธีอุสและมนุษยชาติ โพรมีธีอุสถูกล่ามไว้กับก้อนหิน ที่ซึ่งนกอินทรีจะกินตับของเขาทุกวัน เพียงเพื่อให้มันเติบโตและถูกกินอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น สำหรับมนุษย์ Zeus สั่งให้สร้างแพนดอร่าซึ่งเป็นผู้หญิงคนแรก เหล่าทวยเทพมอบของขวัญมากมายให้กับเธอ รวมถึงความงาม เสน่ห์ และไหวพริบ ร่วมกับ Pandora Zeus ส่งกล่อง (หรือขวดในบางเวอร์ชัน) เป็น “ของขวัญ” ซึ่งเธอได้รับคำสั่งไม่ให้เปิด

อย่างไรก็ตาม Zeus รู้ดีว่าความอยากรู้อยากเห็นของ Pandora จะทำให้เธอเปิดกล่องได้ในที่สุด เมื่อเธอทำเช่นนั้น ความชั่วร้าย ความทุกข์ยาก และความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่อยู่ในนั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาสู่มนุษยชาติ ด้วยวิธีนี้ เรื่องราวจึงทำหน้าที่เป็นคำเตือนเกี่ยวกับผลของการไม่เชื่อฟังเทพเจ้าและอันตรายจากความอยากรู้อยากเห็น กล่องแพนดอร่ามักถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของผลกระทบด้านลบที่ไม่ได้ตั้งใจซึ่งอาจเป็นผลมาจากการกระทำหรือความปรารถนาของมนุษย์

ความทุกข์จะอยู่คู่กับความอยากรู้อยากเห็น เป็นบาปกรรมของมนุษย์ แต่สิ่งที่ค้ำจุนมนุษย์อันหนึ่งคือ “ความหวัง”

การต่อสู้ของพระเสขะ (เสขะ แปลว่า ผู้ยังต้องศึกษาอยู่ คือยังต้องศึกษาไตรสิกขาคือศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อบรรลุมรรคผลที่สูงขึ้นไปอีก เรียกเต็มว่า พระเสขะ หรือ เสขบุคคล) ในขั้นฌานก็คือ ต้องอาศัยอยู่ใน ฌาน๔ ให้ได้ สภาวะฌาน๔ เป็นสิ่งที่ออกจากโลก เป็นสภาวะยากบรรยาย จิตต้องถึง จิตระดับพรหม พระเสขะ จึงต้องเข้าฌาน๔ ประลองกำลัง ให้จิตเข้าใจสภาวะ และหาวิธีอยู่ในสภาวะให้ได้ เริ่มจากการศึกษาและการทำอรูปฌาน ก็จะเข้าใจว่า “อรูปฌาน” ก็ไม่ใช่เพราะเป็นการพยายามที่จะทิ้งรูป แยกรูป แต่นามหรือจิต ก็ยังอยู่ เพียงแต่ในระดับที่จิตนิ่งมากที่สุด ในระดับสูงสุดคือ “เนวสัญญานาสัญญายตนะ” คือจะว่ามีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ การไม่มีสัญญา คือ การปลดสัญญาเจตสิก ออกจากจิต สัญญา คือ ความจำได้ หมายก็รู้ มันไม่มีทางปลดออกจากจิต มันเกิดจากการอายตนะทั้ง๕ และผุดขึ้นกับจิตเองอีกหนึ่ง ทีนี้ถ้าเราทำฌาน๔ ดับอายตนะทั้ง๕ ได้ แต่ผุดขึ้นกับจิตนั้น กดมันได้ด้วยฌาน แต่มันก็โผล่มาอยู่ดี การไม่ให้สัญญาเกิดเข้ามาประกอบจิต มีทางเดียวคือต้องรู้แล้ว คือ ไม่มีสิ่งที่ไม่รู้ (ไม่ใช่วิชาการในโลก) ต้องเห็นทุกข์ ต้องเห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป วนเวียน เจริญ ดับ ไม่จบสิ้น และเบื่อหน่าย ในขณะที่ปัญญาในการเห็นการประกอบของสิ่งต่างๆก็ชัดเจน แต่ไม่ประกอบ เมื่อเบื่อหน่าย และเห็นเส้นของ การประกอบ ขึ้นสูงสุด และลงต่ำแตกสลาย ความไร้ประโยชน์ของวัฏจักรของสิ่งต่างๆ จิตก็ละสังขาร (สังขาร คือ การปรุงแต่ง) เมื่อไม่ปรุงแต่ง ไม่ทะยานอยาก ไม่ติดยึด จิตก็ไม่มีวงจรของอาหารของจิต จิตก็เป็นจิต ที่ไม่อยากรู้ และเห็นวงจรของความรู้ เกิด เจริญ เสื่อม ดับ เปลี่ยนใหม่ วนเวียน เหมือนเดิม จิตก็เป็นจิต ไม่ปรุงแต่ง ไม่ทะยานอยาก ไม่ติดยึด ไม่ประกอบขันธ์ เจตสิก (หรือเครื่องประกอบจิตต่างๆก็จะส่งผลต่อจิต) จิตก็เป็นจิต เจตสิกก็เป็นเจตสิก รูปก็เป็นรูป ขันธ์ทั้ง๕ ก็ไม่ประกอบกัน เมื่อกายแตก รูปสลาย จิตก็เป็นจิต เจตสิกก็เป็นเจตสิก แต่จิตไม่ควาน ขว้า ทะยาน หาสภาวะที่คุ้นเคย หาที่อยู่ใหม่ ในสัตว์ และรูปต่างๆ จิตก็เป็นจิต เจตสิกก็เป็นเจตสิก รูปก็อยู่ส่วนรูป สภาวะแห่งนิพพานปรากฎ ไม่หมุนเวียน ไม่เกิด ไม่เสื่อม เมื่อไม่เกิด ก็ไม่มีเสื่อม ไม่มีดับ จิตก็เป็นจิต เจตสิกก็เป็นเจตสิก รูปก็อยู่ส่วนรูป สภาวะนิพพานปรากฎ

ใส่ความเห็น